วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิลลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare)

วิลลียม เช็คสเปียร์
(William Shakespeare)

วิลเลียม เช็กสเปียร์ เกิดเมื่อประมาณวันที่ 23 เมษายน ปี ค.ศ. 1564 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ภายหลังจากที่พระนางทรงขึ้นครองราชย์ได้ 6 ปี ซึ่งรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 คือยุคทองของอังกฤษ เพราะมีความรุ่งเรืองทั้งในด้านภูมิศาสตร์และอาณานิคม ศิลปะและวรรณคดี ถิ่นที่เกิดของวิลเลียม เช็กสเปียร์ คือบ้านที่ถนนเฮนลีย์ (Henley Street) เมืองสแตรทฟอร์ด อะพอน เอวอน (Stratford-upon-Avon) ในเขตวอร์ริกไชร์ (Warwickshire) โดยอยู่ประมาณใจกลางของประเทศอังกฤษ และในปัจจุบันเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือนกันมาก

บิดาของวิลเลียม เช็กสเปียร์ มีชื่อว่าจอห์น เช็กสเปียร์ (John Shakespeare) เป็นพ่อค้าถุงมือและทำการปศุสัตว์อื่นๆ ผู้ประสบความสำเร็จที่ถูกเลื่อนชั้นเป็นเทศมนตรีแห่งเมืองสแตรทฟอร์ด ส่วนมารดาของเขาคือแมรี่ อาร์เดน (Mary Arden) เกิดมาในตระกูลของชนชั้นผู้ดีเจ้าของที่ดินทั้งสองแต่งงานกันในปีค.ศ. 1557 พอมาในปี ค.ศ. 1558 บิดาของเขาถูกเลือกเป็นผู้ที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของชุมชน ซึ่งคงจะเป็นตำแหน่งเทศมนตรี และสุดท้ายก็ถูกยกให้เป็นผู้นำอาวุโสของเมืองสแตรทาฟอร์ด อีกทั้งยังมีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ ไปด้วย

วิลเลียม เช็กสเปียร์ คือลูกชายคนโตของคนทั้งสอง แต่บางแหล่งข้อมูลก็กล่าวว่าเขาเป็นลูกคนที่ 3 และเขาได้รับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนมัธยมในเมืองสแตรทฟอร์ดที่เขาเกิด กล่าวกันว่าโรงเรียนนั้นคือ “King Edward VI Grammar school” และวิชาที่เขาน่าจะศึกษาคือภาษาลาติน ตรรกศาสตร์ และวรรณคดี เพราะเช็กสเปียร์ได้ใช้ความรู้ทางด้านภาษาลาตินในการเขียนบทละครของเขา และในบางตอนของผลงานเรื่อง The Merry Wives of Windsor นั้นมีการกล่าวถึงวิธีการสอนภาษาลาตินในสมัยนั้น

ประวัติทางด้านการเรียนของเช็กสเปียร์มีปรากฏอยู่เท่านี้ และไม่มีการบ่งบอกอันใดเลยว่าเขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพราะมีหลักฐานสำคัญว่าในปี ค.ศ. 1582 เมื่อเขามีอายุได้ 18 ปีนั้น เขาได้แต่งงานกับแอนน์ แฮธาเวย์ (Anne Hathaway) ลูกสาวของชาวนาผู้หนึ่งในละแวกบ้าน ที่โบสถ์ชื่อแกรฟตัน (Temple Grafton) ใกล้ๆ กับเมืองสแตรทฟอร์ด แอนน์ แฮธาเวย์เป็นสตรีที่มีอายุมากกว่าเช็กสเปียร์ถึง 8 ปี ดังนั้นเขาน่าจะเลิกเรียนหนังสือทันทีที่แต่งงาน ทำให้เชื่อว่าการแต่งงานของเขาน่าจะเป็นไปอย่างเร่งด่วนและฉุกละหุก เพราะขณะนั้นแอนน์ แฮธาเวย์ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว และภายหลังจากที่แต่งงานได้ 6 เดือนแอนน์ แฮธาเวย์ ก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนแรกเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1583 ชื่อว่าซูซานน่า (Susanna) และในปี 1585 ก็ได้มีลูกฝาแฝดชายหญิงคือแฮมเน็ต (Hamnet) และจูดิธ (Judith) และในช่วงที่เขายังอยู่ที่บ้านเกิดเขาได้ฝึกทำงานด้านค้าขายกับบิดาอยู่ระยะหนึ่ง

ต่อมาวิลเลียม เช็กสเปียร์ ได้เดินทางจากบ้านเกิดเพื่อเข้าสู่กรุงลอนดอน สาเหตุที่เขาจากไปมีการสันนิษฐานหลายอย่าง บ้างก็ว่าบิดาของเขาประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปกรุงลอนดอนเพื่อสร้างฐานะและเสี่ยงโชค บ้างก็ว่าเขาจากไปเพื่อที่จะไปทำงานกับคณะละครแห่งหนึ่ง คาดกันว่าเมื่อไปอยู่ ณ กรุงลอนดอนในช่วงแรกๆ วิลเลียม เช็กสเปียร์ คงจะไม่มีเงินเลย ทำให้ต้องไปรับจ้างดูแลม้าให้กับบรรดาผู้คนที่เข้ามาชมละครที่โรงละครชื่อเธอร์เตอร์ (The Theatre) หรือไม่ก็ที่โรงละครชื่อเคอร์เทน (The Curtain) ซึ่งอยู่ในตำบลชอร์ดิทช์ และกิจการดูแลม้าคงจะเป็นไปได้ด้วยดีทำให้มีเงินเก็บ และในช่วงนี้เองที่ทางเจ้าของโรงละครชักชวนให้เขาเข้าร่วมแสดงละครด้วยเพราะเห็นแววทางการแสดงของเขาเข้า

ค.ศ. 1592 เป็นปีที่เช็กสเปียร์เริ่มมีชื่อเสียงในวงการแสดงละคร และเขาได้ไปสังกัดอยู่กับคณะละครของลอร์ดแชมเบอร์เลน (Lord Chamberlain) ประมาณค.ศ. 1594 และเป็นหนึ่งในสามนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังของคณะละครนี้ ซึ่งส่งผลให้เขาได้แสดงละครถวายต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 โดยในเวลานี้เองที่เช็กสเปียร์เริ่มแต่งบทละครและผลงานอื่นๆ เอาไว้มากมาย ซึ่งปี ค.ศ. 1591 (บ้างก็ว่าปี ค.ศ. 1588) คงจะเป็นปีที่เขาเริ่มเขียนบทละครเป็นเรื่องแรก คือบทละครชวนหัวเรื่อง Love’s Labour’s Lost ซึ่งเป็นเรื่องที่รวมเอาข้อสังเกตต่างๆ เกี่ยวกับแฟชั่นในกรุงลอนดอน ความคิดตลกๆ วิธีการพูดและการล้อเลียนคำพูดต่างๆ ในสมัยนั้น

บทละครที่เช็กสเปียร์แต่งขึ้นต่างนำมาจากเค้าโครงเรื่องของงานเขียนเก่าๆ และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มาดัดแปลง เช่นบทละครเรื่อง The Tempest นั้นเช็กสเปียร์ก็ได้ดัดแปลงเค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องของบอกกาจจิโอและซินธิโอ และจากกาพย์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโฮลินแชดและพลูทาร์ค เรื่อง Hamlet และ King Lear ดัดแปลงมาจากบทละครเก่าๆ โดย Hamlet นำมาจากเรื่องที่สูญหายไปในอดีตที่มีชื่อว่า Ur-Hamlet หรือแม้กระทั่งบรรดาบทละครอย่าง Henry IV, Henry V, Richard II, King John และ Richard III ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกษัตริย์อังกฤษในราชวงศ์ทิวดอร์ (Tudor) และแพลนเทจเทท (Plantagenet) ยุคก่อนๆ ที่ปกครองบ้านเมืองในช่วงปี ค.ศ. 1154 – 1547 โดยเช็กสเปียร์นำเค้าโครงเรื่องมาดัดแปลงและเสริมเติมแต่งให้ปมเรื่องมีความสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยชนวนเลือดและเรื่องราวของวีรบุรุษต่างๆ

จะว่าไปแล้วนับเป็นความโชคดีของโลกเราที่ในยุคสมัยนั้นขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์นิยมให้ความอุปถัมภ์แก่คณะละครและเหล่านักแสดง กวี และนักประพันธ์ทั้งหลายมิเช่นนั้นแล้วผลงานอมตะทั้งหลายคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ วิลเลียม เช็กสเปียร์ ก็เช่นเดียวกัน เขาได้รับการอุปถัมภ์จากขุนนางหลายคน

หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการแสดง เช็กสเปียร์ได้เป็นหุ้นส่วนกับโรงละครชื่อเดอะโกลบ (The Globe) จนทำให้มีฐานะมั่งคั่ง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่จอห์น เช็กสเปียร์ บิดาของเขาได้รับอนุมัติให้มีตราประจำตระกูลจากวิทยาลัยแฮรัลด์ (Herald’s College) ในปี ค.ศ. 1596 ซึ่งการที่เขามีฐานะดีขึ้นมาทำให้สามารถซื้อบ้านใหม่ที่นิวเพลส (New Place) ในเมืองสแตรทฟอร์ด

วิลเลียม เช็กสเปียร์ และฟรานซิส แลงก์ลีย์ (Francis Langley) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงละครชื่อเดอะ สวอน (The Swan) ได้มีเรื่องกับวิลเลียม คาร์ดิเนอร์ (William Cardiner) ซึ่งเป็นผู้พิพากษาอยู่ในกรุงลอนดอนในปี ค.ศ. 1596 ในเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่างๆ โดยในเวลานั้นเช็กสเปียร์ได้พำนักอยู่ที่คฤหาสน์เซนต์เฮเลนส์ (Saint Helens) ที่ตำบลบิชอปเกต (Bishopgate)

ภายหลังจากที่วิลเลียม เช็กสเปียร์เริ่มเขียนบทละครเรื่องแรก เขาก็ได้ลงมือเขียนเรื่อง The Two Gentlemen of Verona และ The Comedy of Errors ต่อ ถัดมา จากนั้นจึงเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเป็นเรื่องแรกคือเรื่องโรมิโอกับจูเลียต ซึ่งเป็นบทละครเรื่องแรกที่แสดงถึงความสามารถทางการประพันธ์ของเช็กสเปียร์ได้อย่างแท้จริง โดยเรื่องเหล่านี้ถูกแต่งขึ้นมาขณะที่เช็กสเปียร์กำลังรุ่งเรืองทางด้านกิจการการละคร คณะละครของเขาเล่นที่ลอนดอน แต่บางครั้ง

เช็กสเปียร์ก็ต้องพาคณะละครออกไปแสดงในท้องถิ่นอื่นๆนอกเมืองหลวง จนกระทั่งเกิดการระบาดของโรคกาฬโรคครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนทำให้โรงละครของเช็กสเปียร์ต้องปิดการแสดงลงชั่วคราว

โรงละครของเช็กสเปียร์เปิดทำการอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1592 และคณะละครประเดิมการแสดงด้วยเรื่อง Henry IV และได้รับความนิยมมากจนทำให้ต้องเพิ่มการแสดงต่อไปอีกถึง 2 ตอน และแม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ยังทรงโปรดให้วิลเลียม เช็กสเปียร์ สเปียร์แต่งบทละครเรื่อง Henry VI นี้ขึ้นมาเพื่อล้อชีวิตรักของตัวละครที่ชื่อเซอร์ จอห์น ฟาล์สตาฟ (Sir John Falsstaff) ซึ่งบทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระองค์โปรดปรานมากและสั่งให้เช็กสเปียร์แต่งให้เสร็จภายในเวลาประมาณ 11 – 14 วัน เพื่อที่พระองค์จะทรงได้ทอดพระเนตรเร็วๆ โดยความสำเร็จจากการสร้างละครเรื่องนี้ทำให้นักเขียนคนอื่นๆ หลายคนต้องอิจฉา การที่เรื่อง Henry IV ประสบความสำเร็จและมีผู้ที่นิยมกันมาก เพราะผู้คนในสมัยของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 นั้นให้ความสนใจแก่ประวัติศาสตร์มาก ต่างคิดกันว่าเรื่องราวจากอดีตยังดำเนินและส่งผลมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รู้สึกว่าการฆาตกรรมหรือการจลาจลที่เกิดขึ้นในเรื่องของเช็กสเปียร์คงจะเกิดขึ้นอีกในวันใดวันหนึ่ง ผู้คนในสมัยนั้นชอบภาพของกษัตริย์ที่อ่อนแอแต่มีอัศวินและขุนนางที่มีความสามารถและกล้าหาญมาช่วยเหลือ

เมื่อบทละครเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ในยุคก่อนๆได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม เช็กสเปียร์จึงนำบทละครเรื่องอื่นๆ อย่าง King John และ Richard III ออกมาแสดงในเวลาถัดมา และต่อมาในปี ค.ศ. 1596 และ 1597 เช็กสเปียร์ได้เขียนเรื่อง A Midsummer Night’s Dream, Taming of the Shrew และ The Merchant of Venice ขึ้นมา โดยเรื่อง The Merchant of Venice นี้เป็นการบรรยายในเชิงตลกเสียดสีถึงพ่อค้าชาวยิวผู้ร่ำรวยที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ จึงเข้ากับยุคสมัยเป็นอย่างดีเพราะในเวลานั้นพ่อค้าที่ร่ำรวยส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวยิวซึ่งมีภาพพจน์ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมหน้าเลือด



จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1594 เช็กสเปียร์ถูกเรียกให้เข้าไปแสดงละครถวายสมเด็จพระราชินี อลิซาเบธที่ 1 ในพระราชวัง สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ทรงโปรดปรานเช็กสเปียร์มาก โดยเช็กสเปียร์ได้แต่งเรื่อง The Merry Wives of Windsor ขึ้นมาเพื่อถวายแก่พระองค์ และในบทละครหลายๆ เรื่องของเขาก็มีหลายตอนที่กล่าวยกย่องสรรเสริญสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1

ในช่วงปี ค.ศ. 1598 ที่คณะละครของเช็กสเปียร์เริ่มมีคู่แข่งเพราะผู้ชมหันไปให้ความสนใจมากกว่า เขาก็ได้หันมาแต่งบทละครเชิงโศกนาฏกรรม เช่นเรื่อง Julius Caesar และ Hamlet ซึ่งในเรื่อง Hamlet นั้นมีฉากที่บรรยายถึงคณะละครกับคู่อริที่เป็นวัยรุ่น

อย่างไรก็ตาม,กิจการละครของเช็กสเปียร์กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ซึ่งเป็นกษัตริย์ของสก็อตแลนด์พระราชโอรสของพระนางแมรี่ ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ที่ทรงเสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท โดยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ทรงสนับสนุนการละครมากกว่าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 เสียอีก และละครที่เช็กสเปียร์ผลิตออกมาล้วนแต่มีชื่อเสียงกว้างขวางและประสบความสำเร็จด้วยดี อาทิเช่น เรื่อง Macbeth, King Lear, Antony and Cleopatra และ Othello ซึ่งในยุคนั้นนับว่าเป็นยุคมืดของละครตลก เพราะคนทั่วไปหันมานิยมชมแต่ละครโศกนาฏกรรม ผลงานของเช็กสเปียร์หลายเรื่องที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสุขุมรอบคอบและความคิดที่ลึกซึ้งของเขา โดยการนำเสนอให้เห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องการมักใหญ่ใฝ่สูง ดังเช่นในเรื่อง King John, Julius Caesar, Hamlet, Macbeth, King Lear และ Coriolanus


มีบทละครบางเรื่องของวิลเลียม เช็คสเปียร์ที่เขาได้เขียนร่วมกับนักเขียนคนอื่นอย่าง คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ (Christopher Marlowe) ซึ่งเป็นนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งในสมัยนั้น อย่างเช่นเรื่อง Henry IV, Richard II และ Richard III และละครลำดับสุดท้ายที่เช็กสเปียร์ผลิตออกมาก็คือเรื่อง The Tempest

บทละครของวิลเลียม เช็กสเปียร์ได้ถูกรวบรวมเพื่อตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1623 โดยการจัดการร่วมกันของหุ้นส่วนใหญ่ที่สำคัญ 2 คนในกิจการคณะละครของวิลเลียม เช็กสเปียร์ สเปียร์เอง ซึ่งก็คือจอห์น เฮมมิ่ง (John Hemming) และเฮนรี่ คอนเดลล์ (Henry Condell) โดยก่อนหน้านี้นั้นไม่มีการตีพิมพ์ผลงานที่เป็นบทละครของเขา คงจะเนื่องจากว่าสมัยนั้นการพิมพ์ยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้งยังไม่นิยมพิมพ์เพื่อเผยแพร่บทละครก่อนที่จะเปิดการแสดง ซึ่งการตีพิมพ์ในครั้งนี้มีบทละครรวมทั้งหมด 20 เรื่อง และมีชื่อเรียกหนังสือที่รวมบทละครเหล่านี้ว่า The First Folio

ในช่วงที่วิลเลียม เช็กสเปียร์ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงมาก แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีเอกอันดับหนึ่งของยุคนั้น เพราะยังมีกวีที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกหลายคน จนกระทั่งมาถึงช่วงศตวรรษที่ 17 ที่เช็กสเปียร์ถูกพิจารณาว่าเป็นสุดยอดนักเขียนบทละครแห่งประเทศอังกฤษ และชื่อเสียงของเช็กสเปียร์มาถึงจุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือในช่วงศตวรรษที่ 19

ช่วงบั้นปลายชีวิตของวิลเลียม เช็กสเปียร์ ได้เลิกเขียนบทละคร กลับไปใช้ชีวิตและพักผ่อนอยู่ที่เมืองสแตรทฟอร์ดบ้านเกิดในบ้านที่เขาสร้างสำหรับครอบครัว ว่ากันว่าชีวิตครอบครัวของเช็กสเปียร์นั้นไม่ได้สมบูรณ์นัก เพราะเช็กสเปียร์แต่งงานได้ไม่นานก็จากภรรยาเพื่อมายังกรุงลอนดอน ส่วนลูกๆ ของคนทั้งสองก็ต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร เพราะลูกชายคนเดียวของเขาคือแฮมเน็ต ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ยังเด็กในปี ค.ศ. 1596 ส่วนจูดิธซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนและฝาแฝดของแฮมเน็ตก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา เหลือเพียงลูกคนที่ซูซานน่า ซึ่งในเวลาต่อมาได้แต่งงานกับหมอที่ชื่อจอห์น ฮอลล์ (John Hall) และบ้านของพวกเขา “Hall’s Croft” ในปัจจุบันนี้ก็ยังสงวนไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของเช็กสเปียร์ซึ่งบริหารงานโดย The Shakespeare Birthplace Trust

วิลเลียม เช็กสเปียร์ ได้ทำพินัยกรรมไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1616 และเสียชีวิตลงในปีเดียวกันนั้นเอง คือวันที่ 23 เมษายน มีอายุรวม 52 ปี ศพของวิลเลียม เช็กสเปียร์ ถูกฝังอยู่ในโบสถ์ The Holy Trinity ของบ้านเกิด ซึ่งเป็นโบสถ์เดียวกับที่เขาทำพิธีล้างบาปในตอนเด็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น