วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ ปาโบล ปิกัสโซ่ (Pablo Picasso)จิตรกรเอกของโลก


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปิกัสโซ่

ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ(Pablo Ruiz Picasso)
จิตรกรเอกของโลก เป็นบุคคลที่นิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ปิกัสโซเกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปี 1881 ที่เมืองมาลากา แคว้นอันดาลูเซียทางตอนใต้ของ ประเทศสเปน เป็นบุตรชายคนโตของดอนโคเซ รุยซ์ อี บลัสโก (ค.ศ. 1838-1913) กับมารีอา ปีกัสโซ อี โลเปซ บิดาเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย งานของปิกัสโซเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ แต่การเปลี่ยนแปลงทิศทางรูปแบบของผลงานนั้นเกิดจากหรืออาจได้รับแรงบันดาลใจมาจาก เฟอร์นานเดอ โอริเวียร์ Fernande Olivier ซึ่งเป็นคนรักคนแรกของเขา และเขาได้แต่งงานครั้งที่ 2 กับแจ็คเกอรีน โร๊ค ในปี 1961 และเขาจบชีวิตศิลปินลงในวันที่ 8 เมษายน ปี 1973 เสียชีวิตในวัย 91 ปี

การที่คนๆ หนึ่งจะกลายมาเป็นจิตรกรเอกของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย และหากมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งมีองค์ประกอบของชีวิตที่เหมาะสม คือ ได้เกิด ได้อยู่ในครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก  จึงไม่ยากเลยที่คนๆ นั้นจะเกิดแรงบันดาลใจและจินตนาการในการสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นได้อย่างไร้ขอบเขต 
        เรากำลังพูดถึงจิตรกรชาวสเปนคนนี้ ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ่ (Pablo Ruiz Picasso) ผู้ที่มีผลงานภาพวาด ชื่อGarcon a la Pipe เป็นภาพวาดเด็กชายถือไปป์และมีมงกุฎดอกไม้ประดับไว้บนศรีษะ ซึ่งมีราคาแพงเป็นอันดับ 3 ของโลก คือ 106,910,000  ดอลล่าร์สหรัฐ  ปิกัสโซ่ วาดภาพนี้ ขณะที่อาศัยอยู่ที่ Montmartre ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ 1950  ขณะที่เขามีอายุเพียง 24 ปี 
        ภาพวาดที่มีราคาแพงที่สุด เป็นอันดับที่ 3 ของโลก "Garcon la Pipe"
        ปิกัสโซ่ (Picasso)  เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1881  ที่เมืองมาลากา แคว้นอันดาลูเซีย ประเทศสเปน เขาเป็นบุตรชายคนโตของ คอนโคเซ รุยซ์ อี บลัสโก (Don Jose Ruiz สเปน : Don José Ruiz y Blasco) ซึ่งมีอาชีพเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย กับมารีอา ปีกัสโซ อี โลเปซ (Maria Picasso Ruiz ; สเปน : María Picasso y López)  
        ปิกัสโซ่ (Picasso) เป็นเด็กที่แปลกกว่าเด็กทั่วไปที่ปกติจะต้องเรียก แม่ เป็นคำพูดแรก  แต่คำแรกของปิกัสโซ่ กลับเป็นคำว่า “piz, piz” ซึ่งมาจากคำว่า “lapiz (ลาปิซ) ซึ่งแปลว่า ดินสอ ในภาษาสเปน
        ปิกัสโซ่ (Picasso) ได้รับของขวัญเป็นจานสีและพู่กันเมื่อเขามีอายุได้เพียง 6 ขวบ  ความเป็นศิลปินฉายแววตั้งแต่เด็กและเด่นชัดอีกครั้งจากความบังเอิญ เมื่อบิดาซึ่งกำลังวาดภาพนกพิราบ ลุกออกจากห้องเพื่อไปทำธุระอะไรบางอย่าง และปิกัสโซ่เข้ามาวาดรูปนั้นแทนจนเสร็จ ยังความประหลาดใจให้กับบิดาเมื่อเขากลับเข้ามาในห้องนั้น เพราะภาพวาดนกพิราบที่ปิกัสโซ่วาดไว้ นอกจากจะสวยงามแล้วก็ยังเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์อีกด้วย
        ปิกัสโซ่ (Picasso)  สร้างสรรค์งานศิลปะได้หลายรูปแบบ ไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงภาพวาด (drawing) หรือภาพวาดสีด้วยพู่กัน (painting) แต่เขายังสามารถทำ รูปปั้น รูปหล่อ (sculpture) ภาพพิมพ์ (printmaking) เครื่องเคลือบดินเผา (ceramics)  รวมทั้งใช้วัสดุอื่นๆ มาประยุกต์ให้เป็นผลงานศิลปะได้อีกด้วย เช่น การใช้ชิ้นส่วนเก่าของรถจักรยานมาทำงานหล่อที่ชื่อว่า Bull’s Head 
ภาพเขียนของปีกัสโซแบ่งเป็นช่วงต่าง ๆ ได้ ดังนี้
1. Blue Period ค.ศ. 1901-1904 (ยุคสีน้ำเงิน)
2.Rose Period ค.ศ. 1904-1906 (ยุคสีชมพู)
3.African-Influenced Period ค.ศ. 1906 - 1907
 
4.Cubism ค.ศ. 1909 - 1912 (บาศกนิยม)
5.Classicism and surrealism  ค.ศ. 1913 - 1945 (ยุคคลาสสิกและเหนือจริง)
 
6.Later works ค.ศ. 1946- 1973 (ยุคสุดท้าย)
 
        หลังจากฝากผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าไว้มากมายบนโลกใบนี้ ปีกัสโซ่ ก็จากโลกนี้ไปในปี ค.ศ. 1973  ขณะที่เขามีอายุได้ 91 ปี
        ปิกัสโซ่ (Picasso) มีชีวิตที่แตกต่างจากศิลปินคนอื่นๆ ตรงที่เขาได้รับการยกย่องให้เป็นจิตรกรเอกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่  เขามีโอกาสได้ชื่นชมความสำเร็จของตัวเอง และร่ำรวย ต่างจากจิตรกรคนอื่นๆ ที่มักจะมีชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิตไปแล้วและในขณะอยู่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

ประวัติ วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)

ประวัติ วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)



เดอะวอลท์ดิสนีย์
                บริษัทเดอะวอลท์ดิสนีย์ (อังกฤษ: The Walt Disney Company- NYSEDISหรือรู้จักกันในชื่อ ดิสนีย์ (Disney) บริษัทสื่อและสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (ค.ศ.1923) โดยสองพี่น้องดิสนีย์ วอลต์ ดิสนีย์ และพี่ชาย รอย ดิสนีย์ โดยเริ่มก่อตั้งจากการเป็นสตูดิโอทำภาพยนตร์การ์ตูนในฮอลลีวูด และขยายกิจการเพิ่มเติมโดยในปัจจุบันมีสวนสนุก 11 แห่ง และสถานีโทรทัศน์หลายสถานี รวมถึง เอบีซี และ อีเอสพีเอ็น สำนักงานใหญ่ของดิสนีย์ตั้งอยู่ที่ วอลท์ดิสนีย์สตูดิโอส์ ที่เมืองเบอร์แบงก์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งดิสนีย์ได้เข้าสู่เป็นบริษัทมหาชนเมื่อวันที่ พฤษภาคม พ.ศ.2534สัญลักษณ์ทางการของดิสนีย์คือ มิกกี เมาส์


ประวัติ
                เดอะวอลท์ดิสนีย์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923)  ในชื่อ "ดิสนีย์บราเธอส์คาร์ตูนสตูดิโอ" (Disney Brothers Cartoon Studio) โดยสองพี่น้องดิสนีย์ วอลท์ ดิสนีย์ และ รอย ดิสนีย์ หลังจากที่ทั้งคู่ได้ทำสัญญากับ เอ็ม. เจ. วิงเกลอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในฮอลลีวูด โดยซ็นสัญญาการ์ตูนชุด อลิซคอเมดีส์ (Alice Comedies) ที่วอลท์ได้เริ่มทำเมื่อสมัยที่ทำภาพยนตร์ที่แคนซัสซิตี หลังจากบริษัทก่อตั้งได้ระยะหนึ่ง บริษัทได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอ" (Walt Disney Studio) หลังจากสี่ปีที่ได้เปิดบริษัทมา วอลท์มีไอเดียสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้แก่ ออสวอลด์ เดอะ ลักกีแรบบิต (Oswald the Lucky Rabbit) แต่ทว่าเมื่อผ่านไปหนึ่งปี ทางผู้จัดจำหน่ายได้หยุดการให้ทุนวอลท์ดิสนีย์ แต่ได้นำตัวละครออสวอลท์ไปสร้างต่อกับบริษัทอื่นแทน ทำให้วอลท์จำเป็นต้องหาทุนถ่ายทำใหม่รวมถึงสร้างตัวละครการ์ตูนขึ้นมาใหม่ วอลท์ได้นำหนูมาเป็นตัวละครและตั้งชื่อให้ว่า มอร์ติเมอร์ (Mortimor) แต่ภรรยาของเขาแนะนำให้ใช้ชื่อ มิกกี (Mickey) แทน ซึ่งในตอนที่สามของการ์ตูนชุดในชื่อ สตีมโบตวิลลี (Steamboat Willie) นี้ วอลต์ได้นำเสียงประกอบมาใช้ในการ์ตูน และ ได้ออกฉายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 ที่โรงละครโคโลนีในนิวยอร์ก ซึ่งได้รับการต้อนรับมากมายจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ซึ่งเป็นก้าวแรกของความสำเร็จของวอลท์ดิสนีย์ ต่อมาวอลท์ได้สร้างการ์ตูนชุดใหม่ในชื่อ ซิลลีซิมโฟนีส์ (Silly Symphonies) โดยฟลาเวอรส์แอนด์ทรีส์ในชุดนี้เป็นการ์ตูนรื่องแรกของดิสนีย์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ในปี พ.ศ. 2498 วอลท์ได้เปิดสวนสนุกในชื่อดิสนีย์แลนด์รีสอร์ต

หน่วยงานที่อยู่ในการครอบครองของดิสนีย์
สตูดิโอเพื่อความบันเทิง
                ดิสนีย์เป็นเจ้าของสตูดิโอเหล่านี้จนถึง ปี ค.ศ.1955 จึงนำไปใช้ในเชิงธุรกิจเท่านั้น ใช้ในการผลิตภาพยนตร์ มีหน้าที่รวบรวมภาพยนตร์และแอนิเมชันของดิสนีย์ Buena Vista Motion Pictures Group (หรือWalt Disney Motion Pictures Group, Inc.)
การ์ตูนใน Walt Disney
                ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จักหนูMickey Mouse ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนยอดฮิตอันดับต้นๆของโลก หลายๆคนก่อนที่จะมารู้จักการ์ตูนของวอสท์ดิสนีย์ มิกกี้เมาส์คงเป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่เรารู้จัก การ์ตูนมิกกี้เมาส์ลอกเลียนแบบมาจากหนูแฮมส์เตอร์ โดยออกแบบให้มีหูขนาดใหญ่เพื่อความน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับผู้ที่พบเห็น เมื่อมิกกี้เมาส์เริ่มโด่งดังและเป็นที่นิยม ทางวอสท์ดิสนีย์จึงได้ทำการสร้างมิกกี้เมาส์ขึ้นอีกตัวหนึ่ง ให้มาเป็นคู่ของมิกกี้ คือ มินนี่ โดยมินนี่ก็จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง คือโบว์สีชมพูอันใหญ่ ที่ติดอยู่ด้านบนระหว่างหูสองข้าง จากนั้นเหล่าคู่หูและเพื่อนซี้ของมิกกี้ก็ได้ทยอยตามกันออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสุนัขของมิกกี้ที่ชื่อกูฟฟี่ หรือครอบครัวเป็ดโดนัลล์ดักค์ ทางวอลท์ดิสนีย์จึงได้ทำการผลิตตุ๊กตารูปมิกกี้เมาส์ และทำการจดลิขสิทธิ์ไว้ เพื่อนำออกจำหน่าย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก ปรากฏว่าเป็นที่นิยมชมชอบและสินค้าต่างก็หมดลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทางวอลท์ดิสนีย์จึงได้ผลิตสินค้าต่างชนิดอีกมากมายหลายอย่าง โดยใช้รูปมิกกี้เมาส์เป็นแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ดินสอ ปากกา ยางลบ สมุด แก้วน้ำ รองเท้า ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันสินค้าเหล่านี้ก็ยังเป็นที่นิยมและต้องการอยู่


ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)
                เป็นสวนสนุกและสถานตากอากาศในเครือวอลท์ ดิสนีย์ ปัจจุบันนั้นมีสวนสนุกและสถานตากอากาศในเครือดิสนีย์ (Walt Disney Parks and Resorts) ตั้งอยู่ แห่งทั่วโลก
     •ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท (Disneyland Resort) เริ่มสร้างโดยวอลท์ ดิสนีย์ ในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955)ได้เปิดสวนสนุกแห่งแรกขึ้น และ ในวันที่ กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ได้เปิดสวนสนุกอีกแห่งขึ้น คือ Disney California Adventure สวนสนุกทั้งสองแห่งตั้งอยู่ที่ เมือง Anaheim มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
     • วอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ รีสอร์ท (Walt Disney World Resort) เปิดปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ที่ริมทะเลสาบบัวนา วิสตา เมือง Orlando มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา โดยมีสวนสนุกแบบดิสนีย์แลนด์ (Magic Kingdom)และโรงแรมอีกสามแห่ง ปัจจุบันได้เพิ่มจำนวนสวนสนุกเป็น แห่ง (Magic Kingdom, Epcot, Disney-MGM studios และ Disney’s Animal Kingdom), สวนน้ำอีก แห่งสนามกอล์ฟ และโรงแรมอีกมาก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในโลก
     • โตเกียว ดิสนีย์ รีสอร์ท (Tokyo Disney Resort) เปิดปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ที่จังหวัดจิบะ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงแรกมีแต่สวนสนุกโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ได้เปิดบริการสวนสนุกอีกแห่ง คือ โตเกียว ดิสนีย์ซี
     • ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท ปารีส (Disneyland Resort Paris) เปิดปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) เรียกอีกชื่อว่า ยูโรดิสนีย์ (Euro Disney) และปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) ได้เปิดสวนสนุกอีกแห่ง ชื่อ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ
     • ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท (Hong Kong Disneyland Resort) เปิดในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2548 (ค.ศ.2005) ที่ฮ่องกง


  
สู่วงการอุตสาหกรรมภาพยนต์ในยุคแรก
วอลท์ ดิสนีย์ เกิดเมื่อวันที่ ธันวาคม ปี 1901 เขาเป็นบุตรชายคนที่ ของครอบครัวชาวอเมริกันชั้นกลาง  เมื่อครอบครัวย้ายมายังแคนซัส ซิตี้ บิดาของเขาไปซื้อกิจการจัดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ และให้วอลท์ เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ โดยบิดาของเขาเป็นคนขี้หงุดหงิดรำคาญ เจ้าอารมณ์และชอบพาลหาเรื่องวิวาท ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กของ วอลท์ ดิสนีย์ มีช่วงเวลาแห่งความผาสุกสนุกสนานบนไร่และกับบ้านของครอบครัวในแคนซัส ซิตี้ แต่ก็มีรอยด่างเป็นแผลฝังลึกจากอารมณ์ร้ายๆของผู้เป็นพ่อ กับความไร้สุขจากลักษณะที่พี่ชายแต่ละคนไปจากบ้าน
            ในฐานะของคนที่เปลี่ยนชีวิตวัยเด็กให้กลายเป็นสินค้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน วอลท์ ดิสนีย์ จึงมักย้อนนึกถึงความกลัว และความผาสุกในวัยต้นๆ ของตนเอง เขาก็เหมือนกับเด็กว้าเหว่จำนวนมาก ที่มักจะฆ่าเวลาด้วยการสร้างเพื่อนทางจินตนาการด้วยปากกากับกระดาษ ตอนที่ครอบครัวย้ายไปชิคาโก เขาก็พบทางออกสำหรับความสามารถเฉพาะตัวที่ปรากฏชัด ตอนที่เขากลายเป็นบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ระดับจูเนียร์ของหนังสือพิมพ์โรงเรียนไฮสกูลแมคคินลีย์
            วอลท์เริ่มตระหนักว่า ของเล่นเล็กๆน้อยๆของตนเอง มีค่ามากกว่าแค่ความคิดจินตนาการแปลกๆ เขานำเอาภาพการ์ตูนล้อเลียนตลกขบขันไปแลกกับการได้ตัดผมฟรี ระหว่างนั้นเอง สหรัฐอเมริกาก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ โดยอยู่ข้างฝ่ายพันธมิตร วอลท์ ซึ่งอายุ 16 ปี อาสาสมัครเป็นพลขับให้แก่หน่อยรถพยาบาลกาชาดอเมริกา ตอนที่เขาไปถึงฝรั่งเศส สงครามก็ยุติแล้ว เขาก็เลยขับรถบรรทุกมากกว่ารถพยาบาล แต่เมื่อใดที่เขาเข้าประจำหน้าที่ตามปกติ เขาก็จะวาดการ์ตูน สร้างความสนุกสนานให้แก่เพื่อนฝูงเป็นประจำ
            ปี 1920 เขาเซ็นสัญญารับจ้างวาดภาพให้แก่บริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาชื่อ แคนซัส ซิตี้ ฟิลม์ แอ็ด คัมปะนี ได้ค่าจ้างสัปดาห์ละ 40 ดอลลาร์ โดยบริษัทนี้ จะโฆษณาเป็นภาพยนตร์การ์ตูนสั้นความยาว 60วินาที แพร่ภาพตามโรงภาพยนตร์ วอลท์ ดิสนีย์ จึงได้เรียนรู้วิธีใข้เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการสร้างภาพการ์ตูน กล้องแบบสต็อปแอ็คชั่น ซึ่งจับภาพวาดต่อกันเป็นชุด ทำให้ดูแล้วเหมือนเป็นภาพเคลื่อนไหวได้
            เขาทำงานใกล้ชิดกับศิลปินอีกคนชื่อ อัพบี ไอเวอร์คส์ ทั้งที่เพสแมน-รูบิน กับแคนซัส ซิตี้ ฟิล์ม ปี1922 ศิลปินทั้งคู่ก็ช่วยกันตั้งบริษัทของตนเองชื่อ ลาฟ-โอ-แกรม เพื่อผลิตภาพยนตร์การ์ตูนสั้น แต่ก็ประสบความล้มเหลว
            ต่อจากนั้น วอลท์ ดิสนีย์จึงเริ่มสำรวจการพลิกแพลงทางการค้า เพื่อนำมาใช้กับความคิดบางส่วนของตนเอง เขาคิดว่าตนเองได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นต้นตำรับให้แก่วงการการ์ตูน ตอนที่นำเอาคนจริงๆมาสร้างเป็นการ์ตูนขึ้น ถึงแม้เทคนิคนี้จะมีการใช้กันมาก่อน แต่ภาพยนตร์ของดิสนีย์กับไอเวอร์คส์ ก็นำไปสู่การยอมรับภาพยนตร์การ์ตูนในลักษณะการค้าเป็นครั้งแรก พอปี 1923 เขาก็เดินทางจากแคนซัส ซิตี้ ไปยังสถานที่ซึ่งเคยได้ยินมาว่า ผู้ผลิตภาพยนตร์หนุ่มๆ สามารถหานายทุนมาสนับสนุนโครงการของตนได้ จุดหมายปลายทางที่เขามุ่งไปก็คือ ฮอลลีวู้ด

ด้วยเงินในกระเป๋าเพียง 40 ดอลลาร์ กับภาพการ์ตูน การผจญภัยของอลิซ ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ดิสนีย์ก็จับรถไฟมุ่งไปทางตะวันตกของประเทศ
            เมื่อเดินทางไปถึงลอสแองเจลีส วอลท์ ดิสนีย์ก็ไปพักอยู่กับโรเบิร์ตผู้เป็นลุง จากนั้นก็ตระเวณไปตามสตูดิโอต่างๆ แล้วก็ได้ค้นพบสัจธรรมอย่างรวดเร็วว่า ผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่จะคว้ามาจากข้างถนนกันได้ง่ายๆ เมื่อไม่มีงาน ดิสนีย์ก็ทำแบบที่เคยทำในเมืองแคนซัส ซิตี้ ภายใต้สภาวการณ์เดียวกัน กล่าวคือ เขาเริ่มเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง เมื่อคุณหางานทำไม่ได้ คุณก็ต้องเริ่มธุรกิจของตัวเอง
            วอลท์ ดิสนีย์มีสินทรัพย์ที่สามารถจับต้องได้ อย่างด้วยกันคือ รอย พี่ชายของเขาซึ่งเป็นนักธุรกิจสมองเปรื่อง พำนักอยู่ในลอสแองเจลีส และกลับมาแข็งแรงดีดังเดิมหลังหายจากวัณโรค ส่วนสินทรัพย์อย่างที่ ก็คือ การผจญภัยกับอลิซ ดังนั้นวอลท์ กับรอย จึงเปิดสตูดิโอภาพเคลื่อนไหวชื่อ ดิสนีย์ บราเธอร์ในโรงรถของลุงโรเบิร์ต และสามาถชายให้กับ วิงเลอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์
            เมื่อมีการแพร่ภาพการ์ตูนชุดเรื่องอลิซออกไป อัพบี ไอเวอร์คส์ก็เข้าร่วมกิจการที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ โดยในตอนแรกเข้ามาร่วมในฐานะนักเขียนการ์ตูน ที่ได้รับการว่าจ้างตามสัญญา หลังจากเสร็จสิ้นภาพยนตร์การ์ตูนการผจญภัยของอลิซแล้ว วอลท์  ดิสนีย์ ก็สมรสกับลิเลียน บาวนด์ ทำงานด้านลงหมึกในสตูดิโอ ส่วนวิงเลอร์ ผู้จัดจำหน่ายของเขา ก็แต่งงานเกือบๆจะพร้อมกัน จากนั้นเธอก็มอบการควบคุมธุรกิจจัดจำหน่ายให้กับสามีของเธอ มินซ์ ซึ่งก็ร่วมทำงานกับดิสนีย์ สร้างตัวการ์ตูนกระต่ายที่จับขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ เหมือนอย่างเจ้าแมวเฟลิกซ์ วอลท์สเก็ตช์ภาพกระต่ายตัวหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า ออสวอลด์ เจ้ากระต่ายโชคดี
            ถึงแม้ออสวอลด์จะกลายเป็นจุดเริ่มภาพยนตร์การ์ตูนชุดสั้น ที่ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ความสำเร็จของดิสนีย์กลับมีช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะความโง่เขลาของเขา ทำให้เขาตกลงเซ็นสัญญาผลิตการ์ตูน แต่บริษัทของมินซ์กับยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ จะเป็นเจ้าของตัวการ์ตูนนั้น เรียกได้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้แก่ วอลท์ ดิสนีย์ เป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดตั้งปณิธานว่า ไม่มีวันยอมทำงานให้ใครอีกแล้ว





เริ่มต้นอีกครั้งกับ มิคกี้ เมาส์
          ภายหลังเรื่องราวกับมินซ์เป็นที่ประจักษ์ซึ้งแก่ใจแล้ว ทั้งวอลท์และลิเลียนผู้ภรรยาก็ขึ้นรถไฟเดินทางกลับแคลิฟอร์เนียด้วยความรู้สึกกระปลกกระเปลี้ยสิ้นแรง และตระหนักดีว่าสตูดิโอของเขาต้องปิดกิจการรวดเร็วเป็นแน่ ถ้าเขาไม่สามารถสร้างตัวการ์ตูนใหม่ขึ้นมาได้ ความคิดของเขาหันเหไปหาหนูอย่างรวดเร็ว เพราะเขามักจะเจอพวกหนูในตะกร้าทิ้งผงใต้ในห้องทำงาน
            ครั้นมาถึงแคลิฟอร์เนีย เขาและ อัพบี ไอเวอร์คส์ ก็ช่วยกันสร้างตัวการ์ตูนที่มีความน่ารักน่าเอ็นดู และมีลักษณะเหมือนออสวอลด์แต่มีหูเหมือนหนู ทั้งคู่ตกลงใจตั้งชื่อเจ้าตัวนี้ว่า มิคกี้ เมาส์
            ภาพยนตร์เรื่องแรกที่มิดกี้ เมาส์เป็นพระเอกเป็นการ์ตูนเรื่อง Plane Crazy ซึ่งเป็นเรื่องราววิบากของมิคกี้บนเครื่องบิน ต้องใช้เงินสร้าง 1,800 ดอลลาร์ต่อตอนจากนั้นก็ตามมาด้วย The Gallopin Gaucho และพอถึงภาพยนตร์การ์ตูนตอนที่ ของมิคกี้ เมาส์ชื่อ Steamboat Willie เจ้ามิคกี้ เมาส์ ก็เปลี่ยนวงการการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวตลอดกาล ในไม่ช้าหนูมิคกี้ก็กลายเป็นการ์ตูนที่คนทั้งประเทศหลงใหลคลั่งไคล้ และไม่เพียงเฉพาะเด็กๆเท่านั้น
            ความสำเร็จของ Steamboat Willie ทำให้วอลท์ ดิสนีย์เป็นที่ต้องการตัวมาก เขาเริ่มสร้างการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ในรูปแบบใหม่ๆเดือนละ แบบ สตูดิโอหลายแห่งรวมทั้งยูนิเวอร์แซล อยากจะเป็นผู้จัดจำหน่ายให้แก่ดิสนีย์ หรือแม้แต่ซื้อกิจการของบริษัทเขาเลย แต่เขาไม่สนใจขายกิจการ
            เขาพยายามศึกษาระบบสตูดิโอ และจัดจำหน่ายการ์ตูนของเขาให้แก่โรงภาพยนตร์รายย่อย แต่เขาพบว่า ในระหว่างที่มิคกี้ เมาส์ทำเงินมหาศาล แต่เงินที่ไหลกลับเข้ามือของวอลท์ ดิสนีย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในที่สุดปี 1930 เขาก็ยอมเซ็นสัญญากับสตูดิโอแห่งหนึ่ง มอบหมายให้โคลัมเบียพิคเจอร์เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์การ์ตูน โดยเขาได้รับเงินตอนละ 7,000 ดอลลาร์ ทั้งสองฝ่ายจะแบ่งเงินกัน แต่วอลท์ ดิสนีย์ยังคงถือลิขสิทธิ์อยู่
            บริษัทโคลัมเบีย พิคเจอร์สจัดจำหน่ายการ์ตูนของดิสนีย์ไปทั่วโลก ในปี 1930 เจ้าหนูมิคกี้กลายเป็นปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับโลกชนิดเฉียบพลัน คนอิตาลีเรียกขานเจ้าหนูตัวนี้ว่า Topolino ในสเปนมิคกี้ได้ชื่อว่า  Miguel Rotoncito ส่วนในสวีเดนชื่อของมันเป็น Musse Pigg นอกจากนี้เขาตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ออกมา ปรากฏว่าแค่ปีแรกสามารถจำหน่ายได้ถึง 97,938 เล่ม นอกจากนี้เขายังทำสัญญาตกลงกับคิง ฟีเจอร์ เพื่อสร้างการ์ตูนชุคมิคกี้ เมาส์ ช่องในหนังสือพิมพ์ ซึ่งทำให้บริษัทส่งเสริมการกระจายชมรมมิคกี้ เมาส์ ซึ่งเริ่มผุดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศได้
            ในปี 1932 วอลท์ ดิสนีย์ ได้จ้างนักธุรกิจชื่อ เคย์ แคเมน แห่งนิวยอร์ก ให้มาช่วยคิดหาวิธีการสร้างความมีเสน่ห์ทางการค้าให้แก่มิคกี้  ซึ่งในขณะที่การให้สัมปทานผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าหนูมิคกี้ เมาส์ กลับสร้างสถิติใหม่อย่างรวดเร็ว งานแรกของแคเมนคือการให้สัมปทานผลิตไอศกรีมโคนเพียงชั่วเดือนแรกได้ประมาณ 10 ล้านอัน ครั้นปลายปี บริษัทต่างๆตั้งแต่ RCA ไปจนถึงเจเนอรัล ฟูดส์ ต่างก็มีส่วนช่วยขายเจ้าหนูตัวนี้ โดยทั่วๆไปนั้น ดิสนีย์จะได้รับส่วนแบ่ง เปอร์เซ็นต์ ของราคาขายส่งสินค้าที่ได้รับสิทธิ์สัมปทาน แต่ในช่วงปีแรกที่แคเมนทำงานกับบริษัทการตกลงของเขาสร้างผลกำไรประมาณ 300,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ ใน ของรายได้ทั้งหมด
            โอกาสงามที่วอลท์ ดิสนีย์ได้ยินว่ามาเคาะประตูบ้านเขา ตอนที่เจ้ามิคกี้ เมาส์พูดได้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะเปลี่ยนจากเคาะมาเป็นเตะประตูแรงๆ ตลอดช่วงระยะเวลาที่การ์ตูนมิคกี้ เมาส์ ส่งผลไปเป็นชุดแล้ว วอลท์ ดิสนีย์เองก็พยายามทำงานมากเกินไป ผลิตภาพยนตร์สั้นมิคกี้ เมาส์ ตอนใหม่ออกมาทุกเดือน ใช้ประโยชน์ทำธุรกิจทุกด้านที่มีอยู่ จนตัวเองถึงขนาดพับไป และภรรยาคือผู้พบเขานอนสลบไสล ทว่าเมื่อกลับไปทำงานอีกครั้งหลังพักยาว ดิสนีย์กลับมามุงานหามรุ่งหามค่ำยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเพื่อสร้างบริษัทขึ้นมา
            ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 30 ทำให้วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ สามารถลงทุนปรับปรุงคุณภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวของตนได้ ซึ่งในขณะที่ผู้รับสิทธิ์ทั้งหลายต่างก็ผลิตสินค้าจากตัวการ์ตูนของเขาออกมาเป็นระลอก ดิสนีย์ก็ประกาศชัดว่าภาพยนตร์การ์ตูนของเขานั้นไม่ใช่แค่ผลผลิตเพื่อการค้า แต่เป็นรูปแบบใหม่ของศิลปะที่ถูกต้อง ในปี 1932 สตูดิโอของเขาจึงเป็นแห่งแรกที่เริ่มเปิดโรงเรียนของตนเองที่ซึ่งดิสนีย์สามารถอบรมความรู้ให้แก่นักวาดการ์ตูนคนรุ่นใหม่ในวิธีของเขาเอง เขาจัดหาเทคโนโลยีภาพยนต์การ์ตูนล่าสุด มอบวัสดุคุณภาพสูงสุดให้ผู้เข้าอบรมได้ใช้งาน ต่อมาก็ได้สร้างตัวการ์ตูนอย่าง โดแนลด์ ดัค ,พลูโตและกูฟฟี่ ขึ้นมา ทำให้เขาสามารถโกยกำไรจากตัวการ์ตูนเหล่านี้ได้มากมาย
            ถึงแม้ตัวละครหน้าใหม่ๆ จะแพร่หลายมากขึ้น แต่มิคกี้ เมาส์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของวอลท์ ดิสนีย์อยู่ดี เขาจะติดนาฬิกามิคกี้ เมาส์เรือนใหญ่ไว้บนผนังห้องทำงาน ในสมุคเช็คของบริษัทก็จะพิมพ์รูปมิคกี้ เมาส์เอาไว้ด้วย
            ในญี่ปุ่น เจ้าหนูมิคกี้ เมาส์รู้จักในนามของ มิกิ คูชิ เป็นสิ่งที่คนรู้จักกันแพร่หลายมากที่สุดรองลงมาจากองค์พระจักรพรรดิ์ และในฐานะเป็นผู้สร้างมิคกี้ เมาส์ขึ้นมา วอลท์ ดิสนีย์เองก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ตอนที่เขาเดินทางไปอังกฤษเมื่อปี 1937 เขาก็ร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำกับพระราชินีแห่งอังกฤษ และได้เข้าพบ เอช.จี.เวลส์ ปีถัดมาเขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากทั้งมหาวิทยาลัยเยลและฮาร์วาร์ด มีหลายครั้งด้วยกันที่เส้นแบ่งระหว่างผู้สร้างสรรค์กับการ์ตูนดัง รางเลือนมากเสียจนกลมกลืนไปด้วยกัน ตอนที่ดิสนีย์รับรางวัลจากสันนิบาตแห่งชาติในกรุงปารีส เขาถึงขนาดขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ด้วยเสียงที่ใช้พากษ์เป็นตัวมิคกี้ เมาส์




อาณาจักรของวอลท์ดิสนีย์
          กลางทศวรรษ 1950 ดิสนีย์เริ่มขายผลงานให้แก่วงการโทรทัศน์ ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายใหม่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายหลังทดลองออกอากาศทางโทรทัศน์หลายรายการในปี 1954 ดิสนีย์ก็เซ็นสัญญาระยะยาวให้สิทธิ์ขาดกับ ABC แต่เพียงผู้เดียว และเป็นผู้ผลิตชั้นนำของฮอลลีวู้ดรายแรกที่ทำแบบนั้น
            รายการโทรทัศน์โปรแกรม ดิสนีย์แลนด์ ซึ่งมีวอลท์ ดิสนีย์เป็นพิธีกร มีตัวการ์ตูนต่างๆ และภาพยนตร์สารคดีธรรมชาติมาออกอากาศประเดิมในปี 1954 หลังจากนั้นความมหัศจรรย์ของดิสนีย์ ก็สร้างความพิศวงผ่านทางจอเล็ก ในช่วงฤดูกาลแรกที่ออกอากาศ รายการนี้สามารถทำเรตติ้งตามการจัดอันดับของนีลสัน อันดับที่ 41 อย่างน่าแปลกใจ ซึ่งหมายความว่า มีคนดูแวะเวียนเข้ามาชมรายการของเขาประมาณ 30.8 ล้านคน จากทั้งหมด 75 ล้านคน
            ปีถัดมา ดิสนีย์ก็สร้างชมรมมิคกี้ เมาส์ ซึ่งก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางโทรทัศน์ ดึงดูดผู้ชมทั้งเด็กและวัยรุ่นอย่างมากมาย นอกเหนือจากสร้างดาราเด็กแสดงเป็นหนูอย่างแอนเนต ฟูนิเซลโลขึ้นมาแล้ว รายการนี้ยังดันยอดขายสิทธิ์สัมปทานผลิตภัณฑ์ของดิสนีย์ให้พุ่งลิ่วอีกด้วย ช่วงที่รายการได้รับความนิยมสูงตอนกลางทศวรรษ 1950 สินค้าเป็นหูของมิคกี้ เมาส์ สามารถจำหน่ายได้ถึงวันละประมาณ 25,000 ชุด
            วอลท์ ดิสนีย์ จะให้เสี้ยวหนึ่งแห่งโลกจินตนาการของเขาแก่ผู้ชม ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเสมอ แต่เขาก็ต้องการวิธีดึงจินตนาการของเขาออกมาโลดแล่นมีชีวิตอย่างแท้จริง เขาตัดสินใจแยกจากความบันเทิงผ่านสื่อทั้งหลายด้วยความห้าวหาญ หันมามุ่งมุ่นตั้งใจสร้างสวนสนุกขึ้นมาแห่งหนึ่ง ดิสนีย์ได้รับแนวคิดนี้ระหว่างมองบุตรสาวสองคนของเขาเล่นม้าหมุน
            ในขณะที่ดิสนีย์แลนด์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง บริษัทต่างๆก็เริ่มตระหนักถึงโอกาสทางการค้าของสวนสนุกแห่งนี้ และยอมจ่ายเพื่อเช่าหรือซื้อสัมปทานพื้นที่จำหน่ายสินค้าของตนเอง หรือมิฉะนั้นก็เพื่อให้ชื่อของตนเองปรากฏอยู่บนของเล่นในสวนสนุกเพื่อประชาสัมพันธ์
            ดิสนีย์แลนด์กลายเป็นสวนสนุกให้ความบันเทิงใหญ่สุดของประเทศ เปิดโอกาสให้คนอเมริกันได้สัมผัสกับบรรยากาศสวนสนุกสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำให้คนอเมริกันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งประดิษฐ์ การเปิดสวนสนุกของดิสนีย์แลนด์ได้จังหวะเหมาะสม เพราะประเทศอเมริกากำลังอยู่ในระหว่างยุคประชากรเบ่งบาน เด็กที่เกิดระหว่างปี 1946-1964 เพิ่มขึ้นวันละ 10,000 คน ทำให้ทั่วประเทศมีเด็กถึง 76.4 ล้านคน ทั้งหมดหลั่งไหลไปดิสนีย์แลนด์พร้อมผู้ปกครอง
            ก่อนเปิดสวนสนุก บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น มีส่วนได้ส่วนเสียในดิสนีย์แลนด์อยู่แค่ ใน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และเขาได้ขยายอาณาจักร เริ่มต้นด้วยการวางแผนสร้างดิสนีย์ เวิลด์ ในปี 1958 ใน ฟลอริดา และต่อมาก็ได้ขยายไปยังต่างประเทศ
            สวนสนุกมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์แห่งนี้ เปิดให้เข้าชมได้ในปี 1971 ดิสนีย์ เวิลด์ ไม่ใช่แค่ก็อปปี้ของดิสนีย์แลนด์แห่งชายฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่เป็นจุดบันดาลใจในฐานะแบบอย่างการวางผังเมือง มีรีสอร์ทที่พักในบริเวณ,โรงแรมและมีศูนย์ EPCOT (Experimental Prototype Community of Tomorrow) ซึ่งเป็นศูนย์ทางด้านการศึกษา ที่จัดสภาพแวดล้อมเหมือนโลกอนาคต มีซุ้มพลับพลาต่างๆ จัดแสดงประเทศต่างๆเอาไว้
            ในด้านภาพยนตร์นั้น เขาเรียนรู้ในเวลาต่อมาว่า คนรุ่นต่อๆมาก็สามารถจะนำเอาภาพยนตร์ของครอบครัวกลับมาดูกันใหม่ ราวกับเป็นของใหม่เอี่ยม สำหรับผู้ชมการ์ตูนนั้น เขากำหนดคนแต่ละรุ่นไว้ว่าห่างกันประมาณ ปี และมีการทำเป็นวีดีโอ จัดจำหน่าย สร้างรายได้แต่ละเรื่องเป็นร้อยล้านดอลลาร์
            วอลท์ ดิสนีย์ ไม่ได้มีอายุยืนยาวจนทันเห็นดิสนีย์ เวิลด์ สร้างเสร็จ เขาเป็นเหยื่อมะเร็งในปอด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 1966 ด้วยวัย 65 ปี เขาทิ้งบริษัทให้กลายเป็นเสมือนหนึ่งอนุสาวรีย์ของเขา และทิ้งบริษัทที่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกของครอบครัวชาวอเมริกัน

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ( Hans Christian Andersen) 

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ( Hans Christian Andersen)

ตามความเห็นของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับเขา แอนเดอร์เซนเป็นชาวเดนมาร์ก เขาเกิดในสลัม เป็นตัวตลกน่าสมเพชให้คนหัวเราะมาตลอดชีวิต แต่แล้วเขาก็ใช้คติหัวเราะทีหลังดังกว่า ด้วยบรรดางานเขียนที่เขาเรียกมันว่า ‘เรื่องเล่นๆ’ ที่เป็นนิทานสำหรับเด็ก ซึ่งทำให้ผู้ใหญ่ทั่วโลกนิ่งฟังด้วยตาโต แม้ว่าเขาจะเป็น ‘นักเขียนบทละครพื้นๆ กวีฝีมือธรรมดา นักเขียนนวนิยายชั้นดี และนักเขียนเรื่องท่องเที่ยวชั้นเลิศ’ หากในด้านนิทานแล้ว ‘เขาก้าวไปถึงขั้นเยี่ยมยอดไร้ที่ติ’ กล่าวกันว่านิทานของเขา ‘เป็นบรรณาการยิ่งใหญ่จากเดนมาร์กแก่โลกวรรณกรรม…ฐานะเทียมเท่าโฮเมอร์ ดันเต้ เชกสเปียร์เซอร์บันเตส และเกอเธ่’จากการนำนิทานพื้นบ้านมาเล่าใหม่ เขาก็เริ่มแต่งนิทานเอง แล้วก็เติมความเศร้าหรือน่ากลัวเข้าไป เสริมด้วยจินตนาการเพ้อฝันและลีลาภาษาพูดเรียบง่าย เพื่อย้อมความหวานซึ้งให้กับคติของเรื่อง ‘ต้นสน’ (1845) เป็นเรื่องหนึ่งอันเป็นที่ชื่นชอบกันมากที่สุด เช่นเดียวกับ ‘เด็กหญิงไม้ขีดไฟ’ ‘เงือกน้อย’ ‘ราชินีหิมะ’ ‘ไนติงเกล’ ‘กล่องชุดจุดไฟ’ … และแน่นอน ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ และ ‘ชุดใหม่ของจักรพรรดิ’ (‘แต่พระองค์ไม่ทรงสวมอะไรเลยสักชิ้น!’)

ผลงานนิทาน

The Angel

The Bell

ชุดใหม่ของพระราชา The Emperor's New Clothes

The Emperor's NightingaleThe Fir Tree

เด็กหญิงขายไม้ขีดThe Little Match Girl




เงือกน้อย The little mermaid

The Real Princess

รองเท้าสีแดง Red Shoes

ราชินีหิมะ The Snow Queen

The Steadfast Tin Soldier

The Swineherd

ทัมเบลีน่า Thumbelina

ลูกเป็ดขี้เหร่ The Ugly Duckling

The Old House

The Happy Family

The Story of a Mother

The Shadow

The Dream of Little TukWild Swans




วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ภาพวาด โอฟีเลีย Ophilia


Ophilia โอฟีเลีย

 โอฟีเลีย(Ophelia)เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยจอห์น เอเวอเรตต์ มิเล จิตรกรสมัยกลุ่มนิยมแบบก่อนราฟาเอลชาวอังกฤษ ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์เททบริเตนใน กรุงลอนดอนในอังกฤษ
จอห์น เอเวอเรตต์ มิเลเขียนภาพ “โอฟีเลีย” ระหว่างปี ค.ศ. 1851 ถึงปี ค.ศ. 1852 เป็นภาพของตัวละครโอฟีเลียในบทละคร “แฮมเลต” โดยวิลเลียม เช็คสเปียร์ ขณะที่ร้องเพลงก่อนที่จะจมน้ำตายในลำแม่น้ำในเดนมาร์ก
“โอฟีเลีย” เป็นภาพเขียนที่มีอิทธิพลต่อศิลปะแขนงต่าง ๆ นอกไปจากในสาขาจิตรกรรมเองเช่นในศิลปะการถ่ายภาพ หรือการสร้างภาพยนตร์และอื่น ๆ เมื่อแสดงเป็นครั้งแรกที่ราชสถาบันศิลปะภาพเขียนไม่ได้รับการต้อนรับเท่าใดนัก แต่ต่อมาได้รับการชื่นชมมากขึ้นในความงามของภาพและรายละเอียดภูมิทัศน์ธรรมชาติของภาพ มูลค่าของภาพเขียนตีราคากันว่าประมาณ 30 ล้านปอนด์
ท่านอนของโอฟีเลีย—หงายแขนและมือที่กางออกไปเล็กน้อยและมองลอยขึ้นไป—เป็นท่าเดียวกับภาพพจน์ของธรรมเนียมการเขียนภาพนักบุญหรือผู้พลีชีพเพื่อศาสนา แต่ในขณะเดียวกันก็ตีความหมายได้ว่าเป็นภาพที่ทำให้ผู้ชมตื่นอารมณ์
ภาพเขียนมีชื่อในด้านการวาดรายละเอียดของพืชพันธุ์ริมแม่น้ำและบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำที่เน้นวัฏจักรของการหมุนเวียนของชีวิตที่เริ่มด้วยการเจริญเติบโตไปจนถึงการเสื่อมโทรม แม้ว่าภาพตั้งใจจะให้เป็นเดนมาร์กแต่ภูมิทัศน์ของภาพกลายมาเป็นภาพพจน์ของภูมิทัศน์แบบอังกฤษ ภาพ “โอฟีเลีย” เขียนริมฝั่งแม่น้ำฮอกสมิลล์ในเซอร์รีย์ไม่ไกลจากโทลเวิร์ธในบริเวณนครลอนดอนและปริมณฑล บาร์บารา เวบบ์ผู้พำนักอยู่ที่โอลด์มาลเด็นไม่ไกลจากที่เขียนภาพเท่าใดนัก พยายามเสาะหาจุดที่มิเลใช้ในการวาดภาพและจากการค้นคว้าเชื่อว่าจุดที่วาดอยู่ที่ซิกซ์เอเคอร์เม็ดโดว์ริมถนนเชิร์ชในโอลด์มาลเด็น ที่ไม่ไกลจากที่ที่วิลเลียม โฮลแมน ฮันท์เพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมของมิเลขณะนั้นกำลังทำงานเขียนภาพ “คนรับจ้างเลี้ยงแกะ” (The Hireling Shepherd)

รายละเอียดของภาพที่กล่าวกันว่าเป็นภาพหัวกะโหลก
ดอกไม้ที่ลอยในน้ำเลือกจากดอกไม้ในคำบรรยายมาลัยของโอฟิเลียในบทละคร แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นภาษาดอกไม้ที่แสดงความหมายที่ใช้กันในสมัยวิคตอเรีย เช่นดอกฝิ่นที่เด่นแดงในภาพ—มิได้กล่าวถึงในคำบรรยายในบทละคร—เป็นสัญลักษณ์ของการนอนหลับและความตาย
สิ่งหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในภาพคือภาพหัวกะโหลกในพงไม้ทางฝั่งแม่น้ำทางด้านขวา แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งว่ามิเลตั้งใจจะเขียนหัวกะโหลกในภาพ[ แต่ลักษณะหัวกะโหลกที่เกิดจากการสร้างของธรรมชาติใช้โดยฮันท์ในภาพ “คนรับจ้างเลี้ยงแกะ” เมื่อคนเลี้ยงแกะที่มีตัวม็อธ (Death's-head Hawkmoth) ที่ตายแล้วอยู่ในอุ้งมือ
ในการเขียนขั้นแรกมิเลเขียนภาพตัวหนูน้ำ (Water Vole)—ที่ผู้ช่วยไปจับมาจากแม่น้ำฮอกสมิลล์มาให้พุ้ยน้ำข้าง ๆ โอฟีเลีย ในเดือนธ้นวาคม ค.ศ. 1851 มิเลแสดงภาพเขียนที่ยังไม่เสร็จให้ญาติของฮันท์ดู และบันทึกในบันทึกประจำวันว่า “ลุงและป้าของฮันท์มา, ทั้งสองคนเข้าใจทุกอย่างในภาพเป็นอย่างดี ยกเว้นตัวหนูน้ำ ฝ่ายชายเมื่อให้ทายว่าเป็นตัวอะไร ก็รีบประกาศว่าเป็นกระต่าย แต่จากสีหน้าก็ทราบว่าเป็นคำตอบที่ไม่ถูก จากนั้นก็คิดว่าอาจจะได้ยินคำทายว่าเป็นหมาหรือแมว” มิเลจึงลบตัวหนูน้ำออกจากภาพแต่ภาพร่างตัวหนูน้ำยังคงอยู่ทางมุมบนของผ้าใบที่ซ่อนอยู่ในกรอบ

วิลลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare)

วิลลียม เช็คสเปียร์
(William Shakespeare)

วิลเลียม เช็กสเปียร์ เกิดเมื่อประมาณวันที่ 23 เมษายน ปี ค.ศ. 1564 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ภายหลังจากที่พระนางทรงขึ้นครองราชย์ได้ 6 ปี ซึ่งรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 คือยุคทองของอังกฤษ เพราะมีความรุ่งเรืองทั้งในด้านภูมิศาสตร์และอาณานิคม ศิลปะและวรรณคดี ถิ่นที่เกิดของวิลเลียม เช็กสเปียร์ คือบ้านที่ถนนเฮนลีย์ (Henley Street) เมืองสแตรทฟอร์ด อะพอน เอวอน (Stratford-upon-Avon) ในเขตวอร์ริกไชร์ (Warwickshire) โดยอยู่ประมาณใจกลางของประเทศอังกฤษ และในปัจจุบันเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือนกันมาก

บิดาของวิลเลียม เช็กสเปียร์ มีชื่อว่าจอห์น เช็กสเปียร์ (John Shakespeare) เป็นพ่อค้าถุงมือและทำการปศุสัตว์อื่นๆ ผู้ประสบความสำเร็จที่ถูกเลื่อนชั้นเป็นเทศมนตรีแห่งเมืองสแตรทฟอร์ด ส่วนมารดาของเขาคือแมรี่ อาร์เดน (Mary Arden) เกิดมาในตระกูลของชนชั้นผู้ดีเจ้าของที่ดินทั้งสองแต่งงานกันในปีค.ศ. 1557 พอมาในปี ค.ศ. 1558 บิดาของเขาถูกเลือกเป็นผู้ที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของชุมชน ซึ่งคงจะเป็นตำแหน่งเทศมนตรี และสุดท้ายก็ถูกยกให้เป็นผู้นำอาวุโสของเมืองสแตรทาฟอร์ด อีกทั้งยังมีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ ไปด้วย

วิลเลียม เช็กสเปียร์ คือลูกชายคนโตของคนทั้งสอง แต่บางแหล่งข้อมูลก็กล่าวว่าเขาเป็นลูกคนที่ 3 และเขาได้รับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนมัธยมในเมืองสแตรทฟอร์ดที่เขาเกิด กล่าวกันว่าโรงเรียนนั้นคือ “King Edward VI Grammar school” และวิชาที่เขาน่าจะศึกษาคือภาษาลาติน ตรรกศาสตร์ และวรรณคดี เพราะเช็กสเปียร์ได้ใช้ความรู้ทางด้านภาษาลาตินในการเขียนบทละครของเขา และในบางตอนของผลงานเรื่อง The Merry Wives of Windsor นั้นมีการกล่าวถึงวิธีการสอนภาษาลาตินในสมัยนั้น

ประวัติทางด้านการเรียนของเช็กสเปียร์มีปรากฏอยู่เท่านี้ และไม่มีการบ่งบอกอันใดเลยว่าเขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพราะมีหลักฐานสำคัญว่าในปี ค.ศ. 1582 เมื่อเขามีอายุได้ 18 ปีนั้น เขาได้แต่งงานกับแอนน์ แฮธาเวย์ (Anne Hathaway) ลูกสาวของชาวนาผู้หนึ่งในละแวกบ้าน ที่โบสถ์ชื่อแกรฟตัน (Temple Grafton) ใกล้ๆ กับเมืองสแตรทฟอร์ด แอนน์ แฮธาเวย์เป็นสตรีที่มีอายุมากกว่าเช็กสเปียร์ถึง 8 ปี ดังนั้นเขาน่าจะเลิกเรียนหนังสือทันทีที่แต่งงาน ทำให้เชื่อว่าการแต่งงานของเขาน่าจะเป็นไปอย่างเร่งด่วนและฉุกละหุก เพราะขณะนั้นแอนน์ แฮธาเวย์ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว และภายหลังจากที่แต่งงานได้ 6 เดือนแอนน์ แฮธาเวย์ ก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนแรกเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1583 ชื่อว่าซูซานน่า (Susanna) และในปี 1585 ก็ได้มีลูกฝาแฝดชายหญิงคือแฮมเน็ต (Hamnet) และจูดิธ (Judith) และในช่วงที่เขายังอยู่ที่บ้านเกิดเขาได้ฝึกทำงานด้านค้าขายกับบิดาอยู่ระยะหนึ่ง

ต่อมาวิลเลียม เช็กสเปียร์ ได้เดินทางจากบ้านเกิดเพื่อเข้าสู่กรุงลอนดอน สาเหตุที่เขาจากไปมีการสันนิษฐานหลายอย่าง บ้างก็ว่าบิดาของเขาประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปกรุงลอนดอนเพื่อสร้างฐานะและเสี่ยงโชค บ้างก็ว่าเขาจากไปเพื่อที่จะไปทำงานกับคณะละครแห่งหนึ่ง คาดกันว่าเมื่อไปอยู่ ณ กรุงลอนดอนในช่วงแรกๆ วิลเลียม เช็กสเปียร์ คงจะไม่มีเงินเลย ทำให้ต้องไปรับจ้างดูแลม้าให้กับบรรดาผู้คนที่เข้ามาชมละครที่โรงละครชื่อเธอร์เตอร์ (The Theatre) หรือไม่ก็ที่โรงละครชื่อเคอร์เทน (The Curtain) ซึ่งอยู่ในตำบลชอร์ดิทช์ และกิจการดูแลม้าคงจะเป็นไปได้ด้วยดีทำให้มีเงินเก็บ และในช่วงนี้เองที่ทางเจ้าของโรงละครชักชวนให้เขาเข้าร่วมแสดงละครด้วยเพราะเห็นแววทางการแสดงของเขาเข้า

ค.ศ. 1592 เป็นปีที่เช็กสเปียร์เริ่มมีชื่อเสียงในวงการแสดงละคร และเขาได้ไปสังกัดอยู่กับคณะละครของลอร์ดแชมเบอร์เลน (Lord Chamberlain) ประมาณค.ศ. 1594 และเป็นหนึ่งในสามนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังของคณะละครนี้ ซึ่งส่งผลให้เขาได้แสดงละครถวายต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 โดยในเวลานี้เองที่เช็กสเปียร์เริ่มแต่งบทละครและผลงานอื่นๆ เอาไว้มากมาย ซึ่งปี ค.ศ. 1591 (บ้างก็ว่าปี ค.ศ. 1588) คงจะเป็นปีที่เขาเริ่มเขียนบทละครเป็นเรื่องแรก คือบทละครชวนหัวเรื่อง Love’s Labour’s Lost ซึ่งเป็นเรื่องที่รวมเอาข้อสังเกตต่างๆ เกี่ยวกับแฟชั่นในกรุงลอนดอน ความคิดตลกๆ วิธีการพูดและการล้อเลียนคำพูดต่างๆ ในสมัยนั้น

บทละครที่เช็กสเปียร์แต่งขึ้นต่างนำมาจากเค้าโครงเรื่องของงานเขียนเก่าๆ และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มาดัดแปลง เช่นบทละครเรื่อง The Tempest นั้นเช็กสเปียร์ก็ได้ดัดแปลงเค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องของบอกกาจจิโอและซินธิโอ และจากกาพย์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโฮลินแชดและพลูทาร์ค เรื่อง Hamlet และ King Lear ดัดแปลงมาจากบทละครเก่าๆ โดย Hamlet นำมาจากเรื่องที่สูญหายไปในอดีตที่มีชื่อว่า Ur-Hamlet หรือแม้กระทั่งบรรดาบทละครอย่าง Henry IV, Henry V, Richard II, King John และ Richard III ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกษัตริย์อังกฤษในราชวงศ์ทิวดอร์ (Tudor) และแพลนเทจเทท (Plantagenet) ยุคก่อนๆ ที่ปกครองบ้านเมืองในช่วงปี ค.ศ. 1154 – 1547 โดยเช็กสเปียร์นำเค้าโครงเรื่องมาดัดแปลงและเสริมเติมแต่งให้ปมเรื่องมีความสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยชนวนเลือดและเรื่องราวของวีรบุรุษต่างๆ

จะว่าไปแล้วนับเป็นความโชคดีของโลกเราที่ในยุคสมัยนั้นขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์นิยมให้ความอุปถัมภ์แก่คณะละครและเหล่านักแสดง กวี และนักประพันธ์ทั้งหลายมิเช่นนั้นแล้วผลงานอมตะทั้งหลายคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ วิลเลียม เช็กสเปียร์ ก็เช่นเดียวกัน เขาได้รับการอุปถัมภ์จากขุนนางหลายคน

หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการแสดง เช็กสเปียร์ได้เป็นหุ้นส่วนกับโรงละครชื่อเดอะโกลบ (The Globe) จนทำให้มีฐานะมั่งคั่ง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่จอห์น เช็กสเปียร์ บิดาของเขาได้รับอนุมัติให้มีตราประจำตระกูลจากวิทยาลัยแฮรัลด์ (Herald’s College) ในปี ค.ศ. 1596 ซึ่งการที่เขามีฐานะดีขึ้นมาทำให้สามารถซื้อบ้านใหม่ที่นิวเพลส (New Place) ในเมืองสแตรทฟอร์ด

วิลเลียม เช็กสเปียร์ และฟรานซิส แลงก์ลีย์ (Francis Langley) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงละครชื่อเดอะ สวอน (The Swan) ได้มีเรื่องกับวิลเลียม คาร์ดิเนอร์ (William Cardiner) ซึ่งเป็นผู้พิพากษาอยู่ในกรุงลอนดอนในปี ค.ศ. 1596 ในเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่างๆ โดยในเวลานั้นเช็กสเปียร์ได้พำนักอยู่ที่คฤหาสน์เซนต์เฮเลนส์ (Saint Helens) ที่ตำบลบิชอปเกต (Bishopgate)

ภายหลังจากที่วิลเลียม เช็กสเปียร์เริ่มเขียนบทละครเรื่องแรก เขาก็ได้ลงมือเขียนเรื่อง The Two Gentlemen of Verona และ The Comedy of Errors ต่อ ถัดมา จากนั้นจึงเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเป็นเรื่องแรกคือเรื่องโรมิโอกับจูเลียต ซึ่งเป็นบทละครเรื่องแรกที่แสดงถึงความสามารถทางการประพันธ์ของเช็กสเปียร์ได้อย่างแท้จริง โดยเรื่องเหล่านี้ถูกแต่งขึ้นมาขณะที่เช็กสเปียร์กำลังรุ่งเรืองทางด้านกิจการการละคร คณะละครของเขาเล่นที่ลอนดอน แต่บางครั้ง

เช็กสเปียร์ก็ต้องพาคณะละครออกไปแสดงในท้องถิ่นอื่นๆนอกเมืองหลวง จนกระทั่งเกิดการระบาดของโรคกาฬโรคครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนทำให้โรงละครของเช็กสเปียร์ต้องปิดการแสดงลงชั่วคราว

โรงละครของเช็กสเปียร์เปิดทำการอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1592 และคณะละครประเดิมการแสดงด้วยเรื่อง Henry IV และได้รับความนิยมมากจนทำให้ต้องเพิ่มการแสดงต่อไปอีกถึง 2 ตอน และแม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ยังทรงโปรดให้วิลเลียม เช็กสเปียร์ สเปียร์แต่งบทละครเรื่อง Henry VI นี้ขึ้นมาเพื่อล้อชีวิตรักของตัวละครที่ชื่อเซอร์ จอห์น ฟาล์สตาฟ (Sir John Falsstaff) ซึ่งบทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระองค์โปรดปรานมากและสั่งให้เช็กสเปียร์แต่งให้เสร็จภายในเวลาประมาณ 11 – 14 วัน เพื่อที่พระองค์จะทรงได้ทอดพระเนตรเร็วๆ โดยความสำเร็จจากการสร้างละครเรื่องนี้ทำให้นักเขียนคนอื่นๆ หลายคนต้องอิจฉา การที่เรื่อง Henry IV ประสบความสำเร็จและมีผู้ที่นิยมกันมาก เพราะผู้คนในสมัยของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 นั้นให้ความสนใจแก่ประวัติศาสตร์มาก ต่างคิดกันว่าเรื่องราวจากอดีตยังดำเนินและส่งผลมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รู้สึกว่าการฆาตกรรมหรือการจลาจลที่เกิดขึ้นในเรื่องของเช็กสเปียร์คงจะเกิดขึ้นอีกในวันใดวันหนึ่ง ผู้คนในสมัยนั้นชอบภาพของกษัตริย์ที่อ่อนแอแต่มีอัศวินและขุนนางที่มีความสามารถและกล้าหาญมาช่วยเหลือ

เมื่อบทละครเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ในยุคก่อนๆได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม เช็กสเปียร์จึงนำบทละครเรื่องอื่นๆ อย่าง King John และ Richard III ออกมาแสดงในเวลาถัดมา และต่อมาในปี ค.ศ. 1596 และ 1597 เช็กสเปียร์ได้เขียนเรื่อง A Midsummer Night’s Dream, Taming of the Shrew และ The Merchant of Venice ขึ้นมา โดยเรื่อง The Merchant of Venice นี้เป็นการบรรยายในเชิงตลกเสียดสีถึงพ่อค้าชาวยิวผู้ร่ำรวยที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ จึงเข้ากับยุคสมัยเป็นอย่างดีเพราะในเวลานั้นพ่อค้าที่ร่ำรวยส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวยิวซึ่งมีภาพพจน์ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมหน้าเลือด



จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1594 เช็กสเปียร์ถูกเรียกให้เข้าไปแสดงละครถวายสมเด็จพระราชินี อลิซาเบธที่ 1 ในพระราชวัง สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ทรงโปรดปรานเช็กสเปียร์มาก โดยเช็กสเปียร์ได้แต่งเรื่อง The Merry Wives of Windsor ขึ้นมาเพื่อถวายแก่พระองค์ และในบทละครหลายๆ เรื่องของเขาก็มีหลายตอนที่กล่าวยกย่องสรรเสริญสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1

ในช่วงปี ค.ศ. 1598 ที่คณะละครของเช็กสเปียร์เริ่มมีคู่แข่งเพราะผู้ชมหันไปให้ความสนใจมากกว่า เขาก็ได้หันมาแต่งบทละครเชิงโศกนาฏกรรม เช่นเรื่อง Julius Caesar และ Hamlet ซึ่งในเรื่อง Hamlet นั้นมีฉากที่บรรยายถึงคณะละครกับคู่อริที่เป็นวัยรุ่น

อย่างไรก็ตาม,กิจการละครของเช็กสเปียร์กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ซึ่งเป็นกษัตริย์ของสก็อตแลนด์พระราชโอรสของพระนางแมรี่ ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ที่ทรงเสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท โดยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ทรงสนับสนุนการละครมากกว่าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 เสียอีก และละครที่เช็กสเปียร์ผลิตออกมาล้วนแต่มีชื่อเสียงกว้างขวางและประสบความสำเร็จด้วยดี อาทิเช่น เรื่อง Macbeth, King Lear, Antony and Cleopatra และ Othello ซึ่งในยุคนั้นนับว่าเป็นยุคมืดของละครตลก เพราะคนทั่วไปหันมานิยมชมแต่ละครโศกนาฏกรรม ผลงานของเช็กสเปียร์หลายเรื่องที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสุขุมรอบคอบและความคิดที่ลึกซึ้งของเขา โดยการนำเสนอให้เห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องการมักใหญ่ใฝ่สูง ดังเช่นในเรื่อง King John, Julius Caesar, Hamlet, Macbeth, King Lear และ Coriolanus


มีบทละครบางเรื่องของวิลเลียม เช็คสเปียร์ที่เขาได้เขียนร่วมกับนักเขียนคนอื่นอย่าง คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ (Christopher Marlowe) ซึ่งเป็นนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งในสมัยนั้น อย่างเช่นเรื่อง Henry IV, Richard II และ Richard III และละครลำดับสุดท้ายที่เช็กสเปียร์ผลิตออกมาก็คือเรื่อง The Tempest

บทละครของวิลเลียม เช็กสเปียร์ได้ถูกรวบรวมเพื่อตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1623 โดยการจัดการร่วมกันของหุ้นส่วนใหญ่ที่สำคัญ 2 คนในกิจการคณะละครของวิลเลียม เช็กสเปียร์ สเปียร์เอง ซึ่งก็คือจอห์น เฮมมิ่ง (John Hemming) และเฮนรี่ คอนเดลล์ (Henry Condell) โดยก่อนหน้านี้นั้นไม่มีการตีพิมพ์ผลงานที่เป็นบทละครของเขา คงจะเนื่องจากว่าสมัยนั้นการพิมพ์ยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้งยังไม่นิยมพิมพ์เพื่อเผยแพร่บทละครก่อนที่จะเปิดการแสดง ซึ่งการตีพิมพ์ในครั้งนี้มีบทละครรวมทั้งหมด 20 เรื่อง และมีชื่อเรียกหนังสือที่รวมบทละครเหล่านี้ว่า The First Folio

ในช่วงที่วิลเลียม เช็กสเปียร์ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงมาก แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีเอกอันดับหนึ่งของยุคนั้น เพราะยังมีกวีที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกหลายคน จนกระทั่งมาถึงช่วงศตวรรษที่ 17 ที่เช็กสเปียร์ถูกพิจารณาว่าเป็นสุดยอดนักเขียนบทละครแห่งประเทศอังกฤษ และชื่อเสียงของเช็กสเปียร์มาถึงจุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือในช่วงศตวรรษที่ 19

ช่วงบั้นปลายชีวิตของวิลเลียม เช็กสเปียร์ ได้เลิกเขียนบทละคร กลับไปใช้ชีวิตและพักผ่อนอยู่ที่เมืองสแตรทฟอร์ดบ้านเกิดในบ้านที่เขาสร้างสำหรับครอบครัว ว่ากันว่าชีวิตครอบครัวของเช็กสเปียร์นั้นไม่ได้สมบูรณ์นัก เพราะเช็กสเปียร์แต่งงานได้ไม่นานก็จากภรรยาเพื่อมายังกรุงลอนดอน ส่วนลูกๆ ของคนทั้งสองก็ต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร เพราะลูกชายคนเดียวของเขาคือแฮมเน็ต ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ยังเด็กในปี ค.ศ. 1596 ส่วนจูดิธซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนและฝาแฝดของแฮมเน็ตก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา เหลือเพียงลูกคนที่ซูซานน่า ซึ่งในเวลาต่อมาได้แต่งงานกับหมอที่ชื่อจอห์น ฮอลล์ (John Hall) และบ้านของพวกเขา “Hall’s Croft” ในปัจจุบันนี้ก็ยังสงวนไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของเช็กสเปียร์ซึ่งบริหารงานโดย The Shakespeare Birthplace Trust

วิลเลียม เช็กสเปียร์ ได้ทำพินัยกรรมไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1616 และเสียชีวิตลงในปีเดียวกันนั้นเอง คือวันที่ 23 เมษายน มีอายุรวม 52 ปี ศพของวิลเลียม เช็กสเปียร์ ถูกฝังอยู่ในโบสถ์ The Holy Trinity ของบ้านเกิด ซึ่งเป็นโบสถ์เดียวกับที่เขาทำพิธีล้างบาปในตอนเด็ก